การเลือกบัตรเครดิตที่เหมาะสมเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสำคัญมากขึ้นในช่วงนี้ เพราะทุกวันนี้การใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นการซื้อของหรือเดินทางล้วนมีตัวเลือกมากมายให้พิจารณา บัตรเครดิตยูโอบี วัน (UOB ONE) เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้ง ด้วยจุดเด่นที่เน้นการคืนเงินให้กับผู้ใช้จากการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทำให้คนที่กำลังมองหาบัตรเครดิตที่ให้ผลตอบแทนกลับมาบ้างจากการใช้เงินของตัวเอง เริ่มหันมาให้ความสนใจ การตัดสินใจเลือกบัตรเครดิตใบใดใบหนึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำการบ้านกันก่อนตัดสินใจ เพราะต้องดูทั้งเงื่อนไข การใช้งานจริง และความเหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของแต่ละคน บางคนอาจมองหาความคุ้มค่าในระยะยาว ขณะที่บางคนอาจต้องการสิทธิพิเศษที่ใช้ได้ทันที
บทความนี้จะพาไปดูข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับบัตรยูโอบี วัน เพื่อให้ผู้อ่านได้มุมมองที่ชัดเจนก่อนตัดสินใจ โดยเน้นที่ข้อดีและข้อเสียจากการใช้งานจริง รวมถึงรายละเอียดที่อาจมองข้ามไปหากไม่ศึกษาให้ดี การทำความเข้าใจบัตรใบนี้จะช่วยให้เห็นภาพว่าตรงกับความต้องการหรือไม่ โดยเฉพาะคนที่ใช้จ่ายประจำวันในร้านค้าหรือบริการที่ร่วมรายการ การรู้ข้อมูลล่วงหน้าจะช่วยให้การตัดสินใจมีความมั่นใจขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินคืน เงื่อนไข หรือการจัดการบัญชีที่เกี่ยวข้อง อ่านต่อเพื่อค้นหาคำตอบที่อาจช่วยให้การเลือกบัตรเครดิตของคุณครั้งนี้เป็นไปอย่างรอบคอบยิ่งขึ้น
ภาพรวมของบัตรเครดิตยูโอบี วัน
บัตรเครดิตยูโอบี วัน หรือ UOB ONE เป็นบัตรที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับเงินคืนจากการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยมีแนวคิดที่ว่ายิ่งใช้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้เงินคืนมากขึ้นเท่านั้น บัตรนี้เน้นการช่วยให้การใช้จ่ายมีความคุ้มค่ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า การซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ หรือการจิบกาแฟที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน ผู้ที่สมัครบัตรนี้ยังมีโอกาสได้รับโปรโมชั่นพิเศษ เช่น รับเครดิตเงินคืนสูงถึง 2,000 บาทเมื่อสมัครและใช้จ่ายตามเงื่อนไขที่กำหนดหลังเปิดบัตรใหม่ บัตรนี้เหมาะกับคนที่มองหาตัวเลือกที่ให้ผลตอบแทนจากการใช้จ่ายทุกวัน โดยเฉพาะคนที่เดินทางบ่อยหรือซื้อของจากร้านค้าที่ร่วมรายการเป็นประจำ การสมัครทำได้ผ่านช่องทางออนไลน์ ใช้เวลาไม่นาน และเริ่มรับเงินคืนได้ทันทีภายใน 10 นาทีหลังเปิดใช้งานบัตร ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าพิจารณาสำหรับคนที่ต้องการความคล่องตัวในการใช้จ่าย
ข้อดีของบัตรนี้คือการให้เงินคืนที่ครอบคลุมการใช้จ่ายหลากหลายประเภท ตั้งแต่การเดินทางไปจนถึงการซื้อของทั่วไป ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเงินที่จ่ายไปไม่สูญเปล่า ตัวอย่างเช่น การใช้จ่ายที่รถไฟฟ้าบีทีเอสหรือ MRT สามารถรับเงินคืนได้ถึง 10% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับบัตรอื่นในตลาด ขณะเดียวกัน ผู้ที่สมัครใหม่ยังได้รับเครดิตเงินคืนพิเศษ ซึ่งเป็นแรงจูงใจให้คนอยากลองใช้บัตรนี้ แต่ข้อเสียที่อาจพบได้คือเงื่อนไขบางอย่างที่ซับซ้อน เช่น การจำกัดยอดเงินคืนสูงสุดต่อเดือน หรือการที่บางรายการใช้จ่ายไม่ได้รับเงินคืนเลย เช่น การเติมเงินผ่าน e-Wallet หรือชำระค่าสาธารณูปโภคตามเงื่อนไขและเวลาที่กำหนด
กรุณาเช็คโปรโมชั่นล่าสุดจากเว็บไซต์ยูโอบี
บทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างโปรโมชั่นเพื่อให้คุณเห็นภาพเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ของบัตรนี้ ณ ตอนเขียนบทความนี้เท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป โปรและเงื่อนไขต่างๆ ก็จะอัปเดทออกมาเรื่อยๆ กรุณาเช็คโปรโมชั่นล่าสุดจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของยูโอบี อีกที
สิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากบัตร
บัตรเครดิตยูโอบี วันมาพร้อมกับสิทธิประโยชน์ที่เน้นการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการให้เงินคืนในอัตราที่สูงสำหรับร้านค้าหรือบริการที่คนนิยมใช้กันบ่อยๆ เริ่มจากการใช้จ่ายที่รถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งต้องชำระผ่าน LINE Pay หรือซื้อแพ็กเกจผ่านแอปพลิเคชัน Rabbit Rewards จะได้รับเงินคืน 10% หรือที่รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วง จะต้องใช้การแตะจ่ายผ่านระบบ EMV Contactless ที่ประตูอัตโนมัติถึงจะได้เงินคืนในอัตรา 10% เช่นกัน นอกจากนี้ การซื้อกาแฟหรือเครื่องดื่มที่คาเฟ่ อเมซอนทั่วประเทศก็ได้รับเงินคืน 10% ทำให้คนที่ดื่มกาแฟบ่อยๆ รู้สึกคุ้มค่ามากขึ้น
สำหรับการใช้จ่ายที่ร้าน 7-Eleven ทั้งหน้าร้านและผ่าน ALL ONLINE รวมถึง Grab และร้านวัตสันทั้งหน้าร้านและออนไลน์ ผู้ถือบัตรจะได้รับเงินคืน 5% ซึ่งเป็นอัตราที่เหมาะสมสำหรับคนที่ซื้อของใช้ประจำวันหรือใช้บริการรถรับส่งบ่อยๆ ส่วนยอดใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่อยู่ในหมวด 10% หรือ 5% จะได้รับเงินคืน 1% โดยจำกัดสูงสุดที่ 2,000 บาทต่อรอบบัญชี แต่มีข้อยกเว้น เช่น การซื้อกองทุน การชำระค่าสาธารณูปโภค หรือการเติมเงินเข้า e-Wallet จะไม่ได้รับเงินคืนเลย อีกหนึ่งสิทธิที่น่าสนใจคือการซื้อบัตรชมภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์ในเครือ SF แบบซื้อ 1 ฟรี 1 เฉพาะที่นั่ง Deluxe ราคาปกติ จำกัด 2 สิทธิ์ต่อสมาชิกบัตรต่อเดือน และรวมทั้งหมด 1,000 สิทธิ์ต่อเดือนทุกสาขา ซึ่งเหมาะกับคนที่ชอบดูหนังเป็นประจำ
ข้อดีคือสิทธิประโยชน์เหล่านี้ครอบคลุมการใช้จ่ายที่คนส่วนใหญ่พบเจอในชีวิตประจำวัน ทำให้รู้สึกว่าได้ประโยชน์จริงจากการใช้บัตร แต่ข้อเสียคือการจำกัดยอดเงินคืน เช่น รายการ 10% และ 5% จำกัดรวมกันสูงสุด 500 บาทต่อเดือน ซึ่งถ้าใช้จ่ายเกิน 10,000 บาทในหมวดนี้ก็จะไม่ได้รับเงินคืนเพิ่ม หรือการซื้อบัตรหนังที่มีโควต้าจำกัดอาจทำให้บางคนพลาดโอกาสนี้ไป
เงื่อนไขและการคำนวณเงินคืน
การรับเงินคืนจากบัตรยูโอบี วันมีเงื่อนไขที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด เงินคืน 10% และ 5% จากร้านค้าที่ร่วมรายการจะถูกโอนเข้าบัญชีบัตรในวันสุดท้ายของแต่ละเดือน ถ้าวันนั้นเป็นวันหยุดก็จะเลื่อนไปวันทำการถัดไป โดยจำกัดยอดรวมสูงสุด 500 บาทต่อสมาชิกบัตรต่อเดือน ส่วนเงินคืน 1% จากยอดใช้จ่ายทั่วไปจะเข้าภายในรอบบัญชีนั้นๆ จำกัดสูงสุด 2,000 บาทต่อรอบบัญชี ถ้ายอดใช้จ่ายถูกบันทึกหลังวันตัดรอบ จะถูกคำนวณในเดือนหรือรอบบัญชีถัดไป ผู้ใช้ต้องตรวจสอบวันที่รายการถูกบันทึก (Post Date) เพราะธนาคารยึดวันนี้เป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นที่สำคัญ เช่น การใช้จ่ายผ่าน e-Wallet เช่น True Wallet จะไม่ได้รับเงินคืน 10% หรือ 5% ยกเว้นการจ่ายค่ารถไฟฟ้าบีทีเอสผ่าน LINE Pay ที่ยังคงได้เงินคืน 10% การชำระค่าสาธารณูปโภคและเติมเงิน e-Wallet จะไม่ได้รับเงินคืนใดๆ ถ้ามีการคืนสินค้า เงินคืนที่ได้จะถูกหักออกจากยอดในเดือนเดียวกัน หรือถ้าคืนไม่ทันก็จะหักจากยอดเดือนถัดไป ถ้ามีปัญหาการคำนวณเงินคืน ผู้ถือบัตรต้องแจ้งธนาคารภายใน 3 เดือนนับจากวันที่ใช้จ่ายเพื่อขอตรวจสอบ
ข้อดีของระบบนี้คือเงินคืนเข้าบัญชีอัตโนมัติ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม แต่ข้อเสียคือเงื่อนไขที่ค่อนข้างเยอะและซับซ้อน เช่น การจำกัดยอดเงินคืน หรือการที่บางรายการ เช่น การใช้ True Wallet ที่ 7-Eleven ไม่ได้เงินคืน 5% ต้องรูดบัตรโดยตรงเท่านั้น และมีขั้นต่ำ 200 บาท ซึ่งอาจไม่เหมาะกับคนที่ซื้อของมูลค่าน้อย
โปรโมชั่นสำหรับผู้สมัครใหม่
คนที่สมัครบัตร UOB ONE ผ่านช่องทางออนไลน์ และได้รับอนุมัติภายในช่วยระยะเวลาจะได้รับโปรโมชั่นพิเศษ โดยเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรครบ 5,000 บาทภายใน 60 วันหลังบัตรได้รับอนุมัติ จะได้เครดิตเงินคืน 2,000 บาท ซึ่งเงินคืนนี้จะเข้าบัญชีภายใน 90 วันหลังสิ้นเดือนที่มีการใช้จ่ายครบตามเงื่อนไข โปรโมชั่นนี้สงวนไว้สำหรับลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยถือบัตรเครดิตยูโอบี TMRW หรือซิตี้มาก่อน หรือยกเลิกไปแล้วเกิน 6 เดือน และต้องคงสถานะบัตรไว้ไม่ผิดนัดชำระหนี้จนถึงวันที่ได้รับเงินคืน
ข้อดีของโปรโมชั่นนี้คือเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับผู้ใช้ใหม่ เพราะได้เงินคืนก้อนใหญ่ในช่วงแรก ซึ่งช่วยลดภาระการใช้จ่าย แต่ข้อเสียคือต้องใช้จ่ายให้ครบ 5,000 บาทภายใน 60 วัน ซึ่งอาจต้องวางแผนการใช้จ่ายให้ดี และถ้าต้องการยกเลิกบัตรภายใน 90 วันหลังอนุมัติก็จะเสียสิทธิ์นี้ไป รวมถึงเงินคืนนี้ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดหรือโอนให้คนอื่นได้
ค่าธรรมเนียมและคุณสมบัติผู้สมัคร
บัตรยูโอบี วันยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีแรก ซึ่งปกติอยู่ที่ 2,000 บาท บวก VAT 140 บาท ส่วนปีถัดไปจะยกเว้นได้หากใช้จ่ายครบ 60,000 บาทภายใน 12 รอบบัญชี ดอกเบี้ยสำหรับการชำระขั้นต่ำอยู่ที่ 16% ต่อปี ไม่รวม VAT โดยต้องชำระขั้นต่ำ 8% ของยอดใบแจ้งหนี้ การเบิกถอนเงินสดมีค่าธรรมเนียม 3% ต่อครั้ง และถ้าชำระเต็มจำนวนตามกำหนดจะได้ระยะปลอดดอกเบี้ยสูงสุด 55 วัน
ผู้สมัครบัตรหลักต้องมีอายุ 20-60 ปี รายได้ขั้นต่ำ 15,000 บาทต่อเดือนสำหรับคนไทย หรือ 50,000 บาทสำหรับต่างชาติ อายุงานต้องไม่ต่ำกว่า 4 เดือนสำหรับพนักงานประจำ และ 3 ปีสำหรับเจ้าของกิจการ เอกสารที่ต้องใช้ เช่น สำเนาบัตรประชาชน สลิปเงินเดือน และบัญชีธนาคาร ข้อดีคือเงื่อนไขการสมัครไม่สูงเกินไป และค่าธรรมเนียมยกเว้นได้ถ้าใช้จ่ายถึงเกณฑ์ แต่ข้อเสียคือดอกเบี้ย 16% ค่อนข้างสูงถ้าชำระไม่เต็ม และการเบิกเงินสดมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
สิทธิพิเศษอื่นๆ
บัตรนี้ยังมีประกันอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง คุ้มครองสูงสุด 10,000,000 บาทต่อบัตร เมื่อชำระค่าโดยสารผ่านบัตร ซึ่งเหมาะกับคนที่เดินทางบ่อย อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายที่ 7-Eleven ผ่าน True Wallet ไม่ได้เงินคืน 5% ต้องรูดบัตรโดยตรงเท่านั้น ส่วนคนที่ต้องการบัญชีสำหรับตัดบัตร สามารถเปิดบัญชี UOB ONE Account ผ่านแอป UOBTMRW ได้โดยไม่ต้องไปสาขา
ข้อดีคือมีประกันให้ความมั่นใจในการเดินทาง และการเปิดบัญชีทำได้ง่าย แต่ข้อเสียคือบางสิทธิ์ เช่น การใช้ e-Wallet มีจำกัด และประกันใช้ได้เฉพาะการชำระค่าโดยสารเท่านั้น
การใช้บัตรเครดิต UOB ONE กับ True Wallet ที่ 7-Eleven เป็นอย่างไร
การใช้บัตรเครดิต UOB ONE ที่ร้าน 7-Eleven เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่คนให้ความสนใจ เพราะเซเว่นเป็นที่นิยมสำหรับการซื้อของใช้ประจำวัน โดยปกติแล้ว หากใช้บัตรรูดจ่ายโดยตรงที่เครื่องรับบัตรในร้าน จะได้รับเงินคืน 5% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่น่าสนใจสำหรับคนที่แวะซื้อของบ่อยๆ แต่มีข้อกำหนดว่า ต้องมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 200 บาทต่อครั้งถึงจะได้เงินคืนในอัตรานี้ และยอดเงินคืนสูงสุดจากร้านค้าที่ร่วมรายการ รวมถึง 7-Eleven จะจำกัดอยู่ที่ 500 บาทต่อสมาชิกบัตรต่อเดือน หมายความว่าถ้าใช้จ่ายเกิน 10,000 บาทในหมวดนี้ต่อเดือน เงินคืนจะไม่เพิ่มขึ้นอีก
อย่างไรก็ดี หากผูกบัตรยูโอบี วันกับแอป True Wallet เพื่อจ่ายเงินที่ 7-Eleven จะไม่ได้รับเงินคืน 5% เพราะเงื่อนไขระบุชัดเจนว่าการใช้จ่ายผ่าน e-Wallet ทุกประเภทจะถูกยกเว้นจากการคำนวณเงินคืน 10% และ 5% ยกเว้นกรณีเดียวคือการชำระค่ารถไฟฟ้าบีทีเอสผ่าน LINE Pay ที่ยังได้เงินคืน 10% เรื่องนี้ทำให้คนที่คุ้นเคยกับการจ่ายเงินผ่านแอปอาจรู้สึกว่าต้องปรับวิธีการใช้บัตรใหม่ โดยต้องพกบัตรจริงไปรูดที่ร้านแทน ซึ่งบางครั้งอาจไม่คล่องตัวเท่าการใช้แอป โดยเฉพาะถ้าซื้อของมูลค่าน้อยกว่า 200 บาท เพราะจะไม่ถึงยอดขั้นต่ำที่กำหนด
ในทางกลับกัน ถ้าต้องการเงินคืนจาก 7-Eleven จริงๆ การใช้บัตรโดยตรงก็ยังเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า เพราะเงินคืน 5% จะเข้าบัญชีในวันสุดท้ายของเดือน ถ้าวันนั้นเป็นวันหยุดก็เลื่อนไปวันทำการถัดไป แต่ถ้าซื้อของไม่ถึง 200 บาทบ่อยๆ บัตรนี้อาจไม่ตอบโจทย์เท่าบัตรอื่น เช่น บัตรยูโอบี พรีเฟอร์ (UOB Preferred) ที่ผูกกับ True Wallet ได้และให้เงินคืน 15% สำหรับยอดใช้จ่ายที่ 7-Eleven แต่จำกัดเงินคืนสูงสุดแค่ 30 บาทต่อร้านค้าต่อเดือน หรือใช้จ่ายได้สูงสุด 200 บาทต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งเหมาะกับคนที่ซื้อของมูลค่าน้อยมากกว่า
ข้อดีของบัตร UOB ONE คือให้เงินคืนที่สูงกว่าบัตรอื่นในบางกรณีเมื่อใช้จ่ายที่ 7-Eleven โดยไม่ผ่านแอป แต่ข้อเสียคือต้องพกบัตรจริงและใช้จ่ายถึงขั้นต่ำ ซึ่งอาจไม่เหมาะกับคนที่ชอบจ่ายผ่านแอปหรือซื้อของทีละน้อย ถ้าอยากได้เงินคืนจากยอดเล็กๆ บัตรอื่นอาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า
การเปิดบัญชีสำหรับตัดบัตร UOB ONE ควรเลือกแบบไหน
สำหรับคนที่ถือบัตร UOB ONE และต้องการบัญชีธนาคารเพื่อตัดยอดใช้จ่ายอัตโนมัติ การเลือกบัญชีที่เหมาะสมเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาให้ดี โดยเฉพาะถ้ายังไม่มีบัญชีกับธนาคารยูโอบีมาก่อน ตัวเลือกหนึ่งที่คนพูดถึงบ่อยคือบัญชี UOB ONE Account เพราะสามารถเปิดผ่านแอป UOBTMRW ได้โดยไม่ต้องเดินทางไปสาขา วิธีการก็ไม่ยุ่งยาก แค่ดาวน์โหลดแอปมาแล้วเลือกเมนูเปิดบัญชี ซึ่งมักจะอยู่มุมขวาของหน้าจอ หลังจากนั้นก็กรอกข้อมูลตามขั้นตอนที่ระบุ เมื่อบัญชีพร้อมใช้งาน ก็โอนเงินเข้าไปเพื่อตัดยอดบัตรเครดิตได้ทันที
นอกจาก UOB ONE Account แล้ว ยังมีบัญชีอื่นที่เปิดออนไลน์ได้ เช่น บัญชี UOBTMRW และ UOB STASH ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถใช้ตัดยอดบัตรได้เหมือนกัน แต่ถ้าไม่ถนัดใช้แอป การไปเปิดบัญชีออมทรัพย์แบบธรรมดาที่สาขาก็เป็นอีกทางเลือกที่คนบางกลุ่มนิยม เพราะได้พูดคุยกับพนักงานโดยตรงและมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อย บัญชีที่เปิดไม่ว่าจะแบบไหนก็ไม่มีข้อจำกัดตายตัวว่าต้องเป็นบัญชีพิเศษ ขอแค่เป็นบัญชีของธนาคารยูโอบีและมีเงินเพียงพอในวันตัดยอดก็พอแล้ว
การตัดยอดบัตรจะเกิดขึ้นตามรอบบัญชีที่กำหนด ถ้าชำระเต็มจำนวนตามกำหนดจะได้ระยะปลอดดอกเบี้ยสูงสุด 55 วัน นับจากวันสรุปยอดครั้งก่อน แต่ถ้าชำระขั้นต่ำ 8% ของยอดใบแจ้งหนี้ จะมีดอกเบี้ย 16% ต่อปี ไม่รวม VAT ดังนั้น การมีบัญชีที่จัดการง่ายจะช่วยให้ไม่พลาดการชำระเงิน โดยเฉพาะบัญชีออนไลน์ที่ดูยอดและโอนเงินได้ทันที ข้อดีของการเปิดบัญชีแบบนี้คือประหยัดเวลาและไม่ต้องไปสาขา แต่ข้อเสียคือถ้าไม่คุ้นเคยกับแอป อาจต้องใช้เวลาศึกษาการใช้งานสักหน่อย
บางคนแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องยึดติดกับบัญชีใดบัญชีหนึ่ง ขอแค่สะดวกต่อการโอนเงินและตรวจสอบยอดก็เพียงพอ เพราะสุดท้ายแล้วจุดประสงค์คือให้บัญชีนี้รองรับการตัดยอดบัตร โดยเฉพาะถ้าใช้บัตรบ่อยๆ การมีบัญชีแยกไว้จะช่วยให้จัดการเงินได้ดีขึ้น
สรุปข้อดีและข้อเสียของบัตรเครดิต UOB ONE
ข้อดี
- รับเงินคืนสูงจากร้านค้าที่ใช้บ่อย: ได้เงินคืน 10% เมื่อใช้จ่ายที่รถไฟฟ้าบีทีเอส MRT และคาเฟ่ อเมซอน รวมถึง 5% ที่ 7-Eleven Grab และวัตสัน ซึ่งเป็นร้านค้าที่คนใช้บริการประจำวัน
- เงินคืนจากยอดใช้จ่ายทั่วไป: ได้เงินคืน 1% จากยอดใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่อยู่ในหมวดพิเศษ สูงสุด 2,000 บาทต่อรอบบัญชี ช่วยเพิ่มความคุ้มค่าแม้ใช้จ่ายนอกหมวด
- โปรโมชั่นสำหรับผู้สมัครใหม่: รับเงินคืน 2,000 บาทเมื่อใช้จ่ายครบ 5,000 บาทภายใน 60 วันหลังเปิดบัตร เหมาะสำหรับคนที่เริ่มใช้บัตรใหม่
- สิทธิพิเศษดูหนัง: ซื้อบัตรชมภาพยนตร์ 1 ฟรี 1 ที่โรงภาพยนตร์ SF เหมาะกับคนที่ชอบดูหนังเป็นประจำ
- ประกันอุบัติเหตุการเดินทาง: คุ้มครองสูงสุด 10,000,000 บาทเมื่อชำระค่าโดยสารผ่านบัตร เพิ่มความมั่นใจให้คนที่เดินทางบ่อย
- ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี: ไม่ต้องจ่าย 2,000 บาทในปีแรก และปีถัดไปยกเว้นได้ถ้าใช้จ่ายครบ 60,000 บาทต่อ 12 รอบบัญชี
- สมัครและเปิดบัญชีง่าย: สมัครบัตรและเปิดบัญชี UOB ONE Account ผ่านแอปได้ ไม่ต้องไปสาขา ประหยัดเวลา
- ระยะปลอดดอกเบี้ยยาว: ได้สูงสุด 55 วันหากชำระเต็มจำนวนตามกำหนด ช่วยจัดการเงินได้ดีขึ้น
ข้อเสีย
- เงื่อนไขซับซ้อน: การรับเงินคืน 10% และ 5% มีข้อจำกัด เช่น ต้องใช้บัตรโดยตรง ไม่ผ่าน e-Wallet (ยกเว้นบางกรณี) และจำกัดสูงสุด 500 บาทต่อเดือน
- ยอดใช้จ่ายขั้นต่ำที่ 7-Eleven: ต้องใช้จ่ายอย่างน้อย 200 บาทต่อครั้งถึงจะได้เงินคืน 5% ไม่เหมาะกับการซื้อของมูลค่าน้อย
- การใช้ e-Wallet ถูกจำกัด: ไม่ได้เงินคืน 10% หรือ 5% เมื่อใช้ผ่าน True Wallet หรือ e-Wallet อื่นๆ (ยกเว้น LINE Pay กับบีทีเอส) ทำให้ขาดความยืดหยุ่น
- เงินคืนมีข้อยกเว้นเยอะ: ไม่ได้เงินคืนจากค่าสาธารณูปโภค การเติม e-Wallet การซื้อกองทุน หรือน้ำมัน ทำให้บางการใช้จ่ายไม่คุ้ม
- โควต้าสิทธิพิเศษจำกัด: สิทธิซื้อบัตรหนัง 1 ฟรี 1 จำกัด 1,000 สิทธิ์ต่อเดือน อาจพลาดได้ถ้าใช้ไม่ทัน
- ดอกเบี้ยสูงถ้าชำระขั้นต่ำ: ดอกเบี้ย 16% ต่อปี (ไม่รวม VAT) ถ้าชำระไม่เต็มจำนวน ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับบางบัตร
- ต้องวางแผนใช้จ่ายเพื่อยกเว้นค่าธรรมเนียม: ต้องใช้ครบ 60,000 บาทใน 12 รอบบัญชีถึงจะไม่เสียค่าธรรมเนียม 2,000 บาทในปีถัดไป
- ประกันจำกัดเฉพาะค่าโดยสาร: ประกันอุบัติเหตุใช้ได้เฉพาะเมื่อจ่ายค่าโดยสารผ่านบัตร ไม่ครอบคลุมกรณีอื่น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น