การเงินและเศรษฐกิจทั่วโลกมีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงนโยบายของประเทศที่มีอิทธิพลสูงอย่างสหรัฐอเมริกา การตัดสินใจของผู้นำและทีมบริหารในสหรัฐสามารถส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ย การค้า และการลงทุนในหลายทวีปได้ในพริบตา ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ชื่อของประธานาธิบดีทรัมป์มักถูกพูดถึงในแวดวงการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการออกนโยบายที่ไม่คาดคิด หรือการพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ซับซ้อน เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่แค่ข่าวไกลตัวสำหรับคนไทย เพราะการเปลี่ยนแปลงในสหรัฐมักส่งแรงกระเพื่อมมาถึงตลาดการเงินในบ้านเรา ไม่ว่าจะผ่านค่าเงินบาท อัตราดอกเบี้ยธนาคาร หรือราคาสินค้านำเข้า
บทความนี้เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นถึงวิธีการที่ผู้นำสหรัฐอาจใช้เพื่อจัดการกับเครื่องมือทางการเงินที่สำคัญอย่างพันธบัตรคลัง ซึ่งเป็นหัวข้อที่คนทั่วไปอาจมองข้าม แต่กลับมีพลังในการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจโลกได้อย่างน่าทึ่ง ข้อมูลที่นำมาเขียนได้รับแรงบันดาลใจจากมุมมองของผู้ที่ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะคำพูดและแนวคิดที่เคยถูกหยิบยกขึ้นมาในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้อ่านชาวไทยเข้าใจถึงความเคลื่อนไหวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และมองเห็นภาพใหญ่ของระบบการเงินที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก บทความนี้จะพาไปดูแง่มุมต่างๆ ที่น่าสนใจ โดยหวังว่าจะช่วยให้เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ต่อชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนหรือคนทั่วไปที่นั่งจิบกาแฟยามเช้า
การลดราคาพลังงานเพื่อกดดอกเบี้ยพันธบัตร
เริ่มต้นจากความคิดที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยพูดถึงเมื่อวันที่ 27 มกราคม ในวิดีโอเกี่ยวกับพันธบัตรคลังสหรัฐ เขามองว่าอัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมระยะยาวสูงเกินไป และวิธีหนึ่งที่อาจช่วยลดผลตอบแทนพันธบัตรคลังอายุ 10 ปีได้คือการลดราคาพลังงาน รัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ รวมแนวคิดนี้ไว้ในแผน 333 หากราคาพลังงานถูกลง อัตราเงินเฟ้อจะลดลงตามไปด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวลดลงได้ ความสำคัญของพันธบัตรคลังอายุ 10 ปีอยู่ที่การเป็นฐานของอัตราดอกเบี้ยหลายอย่าง เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ และหนี้บริษัท ถ้าผลตอบแทนลดลง ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมทั่วโลกจะถูกลงตามไปด้วย แต่โอกาสที่ราคาพลังงานจะลดลงจริงนั้นดูยาก ซาอุดีอาระเบียต้องการราคาน้ำมันสูงเพื่อบริหารงบประมาณ ขณะที่บริษัทน้ำมันสหรัฐก็ไม่น่าจะยอมลดราคา การที่ราคาพลังงานจะถูกลงอาจเกิดขึ้นได้เฉพาะในกรณีที่เศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงการเงินทั่วโลกอย่างมาก เพราะเงินเฟ้อที่ลดลงอาจทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องปรับนโยบายดอกเบี้ยตาม
การลดจำนวนพันธบัตรคลังอายุ 10 ปีในตลาด
อีกวิธีที่เคยถูกใช้ในสมัยรัฐบาลไบเดนคือการจำกัดการออกพันธบัตรคลังอายุ 10 ปี แล้วหันไปออกตั๋วเงินคลังระยะสั้นมากขึ้นแทน รัฐมนตรีคลัง เจเน็ต เยลเลน เคยควบคุมจำนวนพันธบัตรให้ต่ำกว่าปกติเพื่อระดมทุน ซึ่งช่วยกดผลตอบแทนพันธบัตรให้ต่ำลง ถ้าจำนวนพันธบัตรในตลาดน้อย ราคาจะสูงขึ้น และผลตอบแทนก็จะลดลงตามกลไกตลาด แต่สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังคนใหม่ของทรัมป์ เคยไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ เขามองว่าการออกตั๋วเงินคลังมากเกินไปไม่ใช่ทางออก รายงานการระดมทุนล่าสุดของกระทรวงการคลังแสดงให้เห็นว่าจำนวนพันธบัตรอายุ 10 ปีในไตรมาสนี้ยังคงเท่าเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ถ้าสหรัฐยังคงนโยบายนี้ต่อไป เศรษฐกิจโลกอาจได้รับอิทธิพล เพราะอัตราดอกเบี้ยที่อิงจากพันธบัตรสหรัฐจะยังคงทรงตัว ส่งผลให้การกู้ยืมในระดับสากลไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
โปรแกรมซื้อคืนพันธบัตรของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการคลังสหรัฐเคยมีโปรแกรมซื้อคืนพันธบัตรในอดีต และเมื่อไม่นานมานี้ได้เริ่มทำอีกครั้งในระดับเล็กๆ วิธีนี้คือการซื้อพันธบัตรระยะยาว เช่น อายุ 10 ปี 20 ปี หรือ 30 ปี กลับมา แล้วออกตั๋วเงินคลังระยะสั้นแทน การลดจำนวนพันธบัตรอายุ 10 ปีในตลาดจะทำให้ราคาพันธบัตรสูงขึ้น และผลตอบแทนลดลง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน ถ้าสหรัฐขยายโปรแกรมนี้ อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่อิงจากพันธบัตรสหรัฐอาจลดลงตาม ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมในหลายประเทศถูกลง แต่การทำแบบนี้ต้องใช้เงินจำนวนมาก และอาจกระทบงบประมาณของสหรัฐ ซึ่งจะเปลี่ยนการไหลเวียนของเงินในระบบการเงินระหว่างประเทศ
การให้ธนาคารกลางสหรัฐซื้อพันธบัตร
วิธีต่อมาคือให้ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ซื้อพันธบัตรคลังอายุ 10 ปี ถ้า FED เข้ามาซื้อ จำนวนพันธบัตรในตลาดจะลดลง ราคาจะสูงขึ้น และผลตอบแทนจะต่ำลง แต่ตอนนี้ FED กำลังลดการถือครองพันธบัตรผ่านนโยบาย quantitative tightening ซึ่งทำมาราวสองปีแล้ว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผ่อนคลายนโยบายในอนาคต การซื้อพันธบัตรอายุ 10 ปีอาจขัดกับเป้าหมายนี้ ทางออกหนึ่งคือให้ FED ขายพันธบัตรระยะสั้น แล้วซื้อพันธบัตรอายุ 10 ปีแทน เพื่อลดผลตอบแทนโดยไม่เพิ่มยอดถือครอง ถ้าสำเร็จ อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่เชื่อมโยงกับสหรัฐจะลดลง แต่ถ้า FED เปลี่ยนนโยบายกะทันหัน อาจสร้างความผันผวนในตลาดการเงินโลกได้
การลดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาล
วิธีที่อาจส่งผลมากที่สุดคือการลดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งตอนนี้สูงถึงเกือบสองล้านล้านดอลลาร์ ถ้าลดลงเหลือหนึ่งล้านล้านหรือหนึ่งล้านห้าแสนล้านดอลลาร์ ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะความเชื่อมั่นในหนี้สหรัฐจะสูงขึ้น แต่สภาคองเกรสปัจจุบันพูดถึงการลดการใช้จ่ายเยอะ แต่ไม่ค่อยลงมือทำจริง ถ้าสหรัฐทำสำเร็จ เศรษฐกิจโลกจะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ การขาดดุลที่สูงต่อไปอาจกดดันให้ดอกเบี้ยทั่วโลกสูงขึ้นแทน
การลดกฎระเบียบของธนาคาร
หลังวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ สหรัฐเพิ่มกฎระเบียบให้ธนาคารต้องถือเงินสำรองมากขึ้น เรียกว่า Supplemental Leverage Ratio (SLR) ทำให้ธนาคามีเงินซื้อพันธบัตรสหรัฐน้อยลง ถ้าลดกฎนี้ โดยอนุญาตให้ธนาคารถือพันธบัตรสหรัฐแทนเงินสำรอง จะเพิ่มผู้ซื้อพันธบัตร และลดผลตอบแทนได้ เพราะพันธบัตรสหรัฐถือว่าปลอดภัยสูง ถ้าสำเร็จ อัตราดอกเบี้ยที่เชื่อมโยงกับพันธบัตรจะถูกลง ส่งผลดีต่อการกู้ยืมทั่วโลก แต่การเปลี่ยนกฎอาจทำให้ระบบธนาคารผันผวนชั่วคราว
การใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือ
ทรัมป์อาจใช้ภาษีศุลกากรข่มขู่ประเทศอื่นให้ซื้อพันธบัตรสหรัฐ เช่น ที่เคยทำกับเม็กซิโกเพื่อเรื่องความปลอดภัยชายแดน ถ้าประเทศอื่นยอมซื้อพันธบัตรเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี จำนวนผู้ซื้อจะเพิ่มขึ้น และผลตอบแทนจะลดลง วิธีนี้จะเพิ่มอำนาจต่อรองของสหรัฐในเศรษฐกิจโลก แต่ถ้าประเทศอื่นไม่ยอม อาจนำไปสู่สงครามการค้า ซึ่งจะกระทบการค้าและการเงินทั่วโลก
การยกเลิกภาษีเงินได้จากพันธบัตร
ตอนนี้พันธบัตรสหรัฐได้รับการยกเว้นภาษีรัฐและท้องถิ่น ถ้ารัฐบาลกลางยกเลิกภาษีเงินได้จากพันธบัตรด้วย จะดึงดูดคนให้มาซื้อมากขึ้น ทำให้ผลตอบแทนลดลง วิธีนี้จะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมทั่วโลก แต่รัฐบาลจะเสียรายได้จากภาษี ซึ่งอาจกระทบงบประมาณ และส่งผลต่อนโยบายการเงินระหว่างประเทศ
การปรับมูลค่าทองคำสำรอง
สหรัฐมีทองคำสำรองเกือบ 88,200 ตัน บันทึกมูลค่าไว้ที่ 11,000 ล้านดอลลาร์ แต่ถ้าคิดตามราคาตลาด จะมีค่าถึง 800,000 ล้านดอลลาร์ การปรับบัญชีให้กระทรวงการคลังได้เงินเพิ่ม 750,000 ล้านดอลลาร์ จะช่วยลดความจำเป็นในการออกพันธบัตร และกดผลตอบแทนลงได้ แต่ถ้าราคาทองคำตก มูลค่าสำรองจะลดลงตาม สร้างความผันผวนในตลาดโลกได้อย่างรุนแรง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น