ลองจินตนาการว่าคุณเริ่มลงทุนในปี 1985 และเป็นเวลาหลายปีที่เงินของคุณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ "Black Monday" หรือที่เรียกอีกชื่อว่า "The Monday Massacre" ซึ่งเป็นวันที่ตลาดวอลล์สตรีทตกลงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ภายในวันเดียว ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนมากมาย แม้ว่าเพื่อนของคุณอาจจะเคยมองว่าคุณเป็นอัจฉริยะ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้พวกเขากลับแนะนำให้คุณขายหุ้นของคุณเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม คุณตัดสินใจที่จะไม่ทำตามคำแนะนำของพวกเขา และตลาดก็เริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง
ต่อมาในช่วงที่ดัชนี NASDAQ ลดลงเกือบ 10% เนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต นักลงทุนจำนวนมากเร่งขายหุ้นเพื่อป้องกันความเสียหาย ซึ่งทำให้เพื่อนของคุณขอร้องให้คุณถอนเงินออกจากตลาด โดยบอกว่า "ถึงเวลาที่ต้องเก็บกำไรแล้วก่อนที่คุณจะสูญเสียทุกอย่าง" แต่คุณยังคงยึดมั่นและรอให้ตลาดฟื้นตัว และแน่นอน ตลาดก็กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง
คุณยังคงลงทุนต่อไปจนกระทั่งต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั่วโลก การหดตัวของเศรษฐกิจโลก 3% ในปีนั้นถือเป็นวิกฤตที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ยุค Great Depression หลายคนคิดว่านี่คือจุดจบของตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกอย่างเริ่มกลับมาเปิดใหม่ ตลาดหุ้นกลับพุ่งขึ้นถึง 27% จากจุดต่ำสุด และทำสถิติใหม่ นี่ถือเป็นการฟื้นตัวที่น่าประทับใจ!
สิ่งที่ยังไม่ได้เปิดเผยก็คือ ชายที่เริ่มลงทุนในปี 1985 ก็คือตัวผู้เล่าเอง เขาเริ่มต้นลงทุนตั้งแต่อายุ 18 ปี โดยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 11.23% ต่อปี ซึ่งหมายความว่าหากเขาลงทุนเพียง $250 ต่อเดือนมาโดยตลอด ตอนนี้เขาจะมีเงินรวม $1,841,521 ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่มากกว่า 6,000 เท่า แต่แท้จริงแล้วเขาลงทุนมากกว่านั้นเยอะ นี่แสดงให้เห็นถึงพลังของการลงทุนในระยะยาว
วิธีเริ่มต้นลงทุน
ผู้เล่าต้องการแบ่งปันแนวทางการลงทุนผ่านโทรศัพท์มือถือ แต่เน้นว่าตัวเขาเองไม่ใช่ที่ปรึกษาทางการเงิน และแนะนำให้ทุกคนมีเงินสำรองฉุกเฉินสำหรับค่าใช้จ่าย 3-5 เดือนก่อนเริ่มลงทุน
- การเปิดบัญชี - ปัจจุบันแพลตฟอร์มการลงทุนมีให้เลือกมากมาย และกระบวนการเปิดบัญชีก็ง่ายขึ้นมากเมื่อเทียบกับในอดีตที่ต้องโทรหาโบรกเกอร์ทุกครั้งที่ต้องการซื้อหุ้น ในกรณีนี้ แนะนำให้ใช้แอป Trading 212 ซึ่งใช้งานง่าย
- การเลือกบัญชีที่ได้รับประโยชน์ทางภาษี - บัญชีเหล่านี้ช่วยให้คุณไม่ต้องจ่ายภาษีที่ไม่จำเป็น ตัวอย่างเช่น "stocks and shares ISA" ในสหราชอาณาจักร หรือ "Roth IRA" ในอเมริกา โดย ISA มีข้อได้เปรียบเพราะสามารถลงทุนได้สูงสุดถึง £20,000 ต่อปีโดยไม่ต้องเสียภาษีและสามารถถอนเงินออกได้ทุกเมื่อ
- การฝากเงิน - แอปส่วนใหญ่รองรับการฝากเงินที่สะดวก เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร บัตรเดบิต หรือ Apple Pay เพื่อเริ่มลงทุน
- การได้รับหุ้นฟรี - ตลาดหุ้นมีความผันผวน ดังนั้นการเลือกหุ้นที่ดีอาจเป็นเรื่องยาก วิธีที่ง่ายกว่าคือการลงทุนในกองทุนดัชนี เช่น S&P 500 ซึ่งเป็นการลงทุนในบริษัทใหญ่ ๆ เช่น Amazon, Google, Apple และ Tesla พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่อัตโนมัติ เช่นเดียวกับชาร์ตเพลงที่มีเพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุดติดอันดับอยู่ตลอดเวลา
- การลงทุนแบบอัตโนมัติ - การลงทุนอย่างสม่ำเสมอและอัตโนมัติสามารถช่วยให้คุณสร้างผลตอบแทนระยะยาวได้ เช่น ลูกชายของผู้เล่าได้ทดลองลงทุน £5 ใน S&P 500 ทุกวันเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งสร้างผลตอบแทน 5.03% ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การเลือกประเภทของกองทุนดัชนี - แนะนำให้เลือกกองทุนที่มี "accumulation" ซึ่งจะนำเงินปันผลกลับมาลงทุนโดยอัตโนมัติ ทำให้พอร์ตของคุณเติบโตเร็วขึ้น
- การวิเคราะห์ศักยภาพการเติบโตของเงินลงทุน - การใช้ระบบคำนวณจากข้อมูลในอดีตสามารถช่วยคาดการณ์ผลตอบแทนของการลงทุนได้ เช่น การลงทุน £250 ต่อเดือนเป็นเวลา 31 ปี อาจเติบโตเป็น 1.14 ล้านปอนด์ หรือหากลงทุนต่อเนื่อง 40 ปี อาจเพิ่มเป็น 3.56 ล้านปอนด์
- ผลกระทบของเงินเฟ้อ - หากคุณลงทุนอย่างต่อเนื่อง เงินเฟ้อจะไม่ใช่ปัญหาสำคัญ เนื่องจากมูลค่าของพอร์ตการลงทุนของคุณสามารถเติบโตได้เร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อ
ทุกคนควรเริ่มต้นลงทุนอย่างมีวินัย ใช้ระบบอัตโนมัติ และลงทุนในระยะยาวเพื่อให้เงินทำงานให้กับคุณ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น